เซรั่มไฮยา

ผลิตเซรั่มไฮยา HYA Serum ด้วยงบประมาณ 30,000 บาท ราคา/โล /2,500 บาท จะได้สินค้า ประมาณ 200 ขวด ขนาดบรรจุ 30ml.  

 

ไฮยาลูรอน วิต ซี ไบรท์เทนนิ่ง เซรั่ม ในสูตรจะมีสารสกัดดังต่อไปนี้

 Sodium Hyaluronate และ Hydrolyzed Sodium Hyaluronate

ประกอบด้วย Sodium Hyaluronate ในรูปแบบที่เป็นผงบริสุทธิ์ หรือ Pure Sodium Hyaluronate จำนวน 2 ชนิด

คือ Sodium Hyaluronate และ Hydrolyzed Sodium Hyaluronate ที่มีขนาดโมเลกุลแตกต่างกัน 4 ขนาดโมเลกุล

ประกอบไปด้วย

- Sodium Hyaluronate โมเลกุลขนาดใหญ่,

- Sodium Hyaluronate โมเลกุลขนาดกลาง,

- Sodium Hyaluronate โมเลกุลขนาดเล็ก และ

- Hydrolyzed Sodium Hyaluronate

 

 ในส่วนผสมจะระบุไฮยาลูรอนไว้ 2 ชื่อเท่านั้น นั่นก็คือ Sodium Hyaluronate และ Hydrolyzed Sodium Hyaluronate  ในสูตรมีการเลือกใช้ Sodium Hyaluronate ที่ขนาดของโมเลกุล แตกต่างกัน 3 ขนาด แต่พอเวลาระบุลงในส่วนประกอบข้างกล่อง ชื่อที่ซ้ำกันจะถูกนำมารวมกันนั่นเอง

 

โดยตามหลักการแล้ว ขนาดของไฮยาลูรอนที่ใหญ่หน่อย (Sodium Hyaluronate) จะให้ความชุ่มชื้นที่ด้านนอกของผิว แต่ขนาดที่เล็กลง (Hydrolyzed Sodium Hyaluronate) ก็จะสามารถแทรกเข้ามาในผิวชั้นหนังกำพร้าเพื่อให้ความชุ่มชื้นได้ลึกขึ้น

 

การมีไฮยาลูรอนทั้งขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ หลายๆ ขนาดนี้ จะช่วยให้ความชุ่มชื้นของผิวชั้นนอกในชั้นที่แตกต่างกันได้นั่นเอง

หรือจะลำดับง่ายๆ ก็ประมาณนี้

- Sodium Hyaluronate โมเลกุลขนาดใหญ่ จะทำหน้าที่ให้ความชุ่มชื้นบริเวณผิวหนังชั้นนอก ด้วยการเคลือบคลุมผิวได้ดีกว่าขนาดโมเลกุลอื่นๆ

- Sodium Hyaluronate โมเลกุลขนาดกลาง ให้ความชุ่มชื้นบริเวณผิวหนังชั้นนอกเช่นกัน แต่จะสามารถเคลือบคลุมผิวได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

- Sodium Hyaluronate โมเลกุลขนาดเล็ก สามารถแทรกซึมเข้าสู่ผิวได้ ให้ความชุ่มชื้นผิวในระดับลึกกว่า แต่จะไม่สามารถเคลือบคลุมผิวชั้นนอกได้เลย

- Hydrolyzed Sodium Hyaluronate เป็น hyaluronate ชนิดหนึ่ง ที่มีขนาดโมเลกุลเล็กกว่า Sodium Hyaluronate ปกติ  โดยมีการใช้นวัตกรรม Enzyme Degradation  เข้ามาเพื่อที่จะทำให้ Sodium Hyaluronate มีขนาดที่เล็กลงไปอีก ทำให้สามารถแทรกซึมเข้ามาในผิวชั้นหนังกำพร้าได้ลึกกว่า Sodium Hyaluronate ปกติ เพื่อให้ความชุ่มชื้นได้ลึกขึ้น

 

Biosaccharide Gum-1, Biosaccharide Gum-2

เป็นสารกลุ่มแซคคาไรด์ที่มีคุณสมบัติพิเศษมากมายหลายประการที่นอกจากจะช่วยให้ความชุ่มชื้น ปลอบประโลมผิว (SOOTHING) ลดการระคายเคือง อาการแพ้ บวม แดง ผื่นคันกับผิวแล้ว ยังฟอร์มตัวเป็นม่าน หรือ แผ่นฟิล์มบางๆ ทำหน้าที่ดูดความชุ่มชื่นหล่อเลี้ยงผิวได้ตลอดเวลาและเป็นระยะเวลานาน (Long Lasting Moisturizing) เช่นเดียวกันกับ Hyaluronic Acid เพื่อปกป้องผิวไม่ให้อนุภาคฝุ่น หรือมลภาวะ มาสัมผัสกับผิวได้โดยตรง และยังให้เนื้อสัมผัสของผลิตภัณฑ์ที่ นุ่มนวล น่าสัมผัส และมีเอกลักษณ์เฉพาะพิเศษ

 

Hamamelis Virginiana (Witch Hazel) Water หรือ น้ำกลั่นจากดอกวิชฮาเซล

เป็นน้ำกลั่นจากดอกวิชฮาเซล ที่ปราศจากแอลกอฮอลล์ หรือสิ่งเจือปนทุกชนิด ช่วยกระชับรูขุมขน (astingent - pore tightening) อย่างปลอดภัย ไม่ระคายเคืองผิว เนื่องจากเป็นพืชธรรมชาติ และกลั่นด้วยวิธีทางธรรมชาติ โดยไม่ใช้การสกัดด้วยแอลกอฮอลล์หรือสารเคมีใดๆ ทำให้มีความบริสุทธิ์สูงสามารถใช้ได้แม้ผิวแพ้ง่าย

 

สารสกัดจาก Phragmites kharka (ต้นอ้อ) และ Poria cocos (เห็ดฝูหลิง)

มีคุณสมบัติเด่นในการปลอบประโลมผิว ช่วยลดการอักเสบ และลดการสูญเสียน้ำออกจากผิว เป็นเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) พร้อมปกป้องผิวจากปัจจัยภายนอก (มลภาวะ)  ช่วยปกป้องผิวที่ไวต่อแสงแดด (Photosensitivity)  ทำให้ผิวแข็งแรงมากขึ้น ทนต่อแสงแดด และมลภาวะภายนอกได้ดีขึ้น ถือเป็นตัว Anti-pollution ที่มีประสิทธิภาพอีกด้วย 

 

วิตามิน B3 มีชื่อเรียกอีก 2-3 ชื่อ คือ Niacinamide, Nicotinamide และ Nicotinic amide ซึ่งเราจะพบเห็นในส่วนประกอบข้างกล่องบ่อย ๆ ในชื่อ Niacinamide

ตัววิตามิน B3 นี้มีการนำมาใส่ในเครื่องสำอางกันเยอะมากๆ นั่นเป็นเพราะว่าตัวมันเองมีความปลอดภัยค่อนข้างสูง อีกทั้งเรายังเลือกใช้ วิตามิน B3 เกรดที่มีคุณภาพสูง ควบคุมการผลิตโดยบริษัทที่ Switzerland 

วิตามิน B3 เป็นวิตามินที่มีประโยชน์ต่อผิว และมีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมากมาย ทั้งในเรื่องการลดเลือนริ้วรอย ลดเลือนรอยแดง รอยดำ (hyperpigment) เพิ่มความชุ่มชื้น ด้วยการกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจน และเซราไมด์ (ceramide) และยังทำให้ผิวแข็งแรง ต่อสู้กับการระคายเคือง (irritants) ต่างๆ ได้ดีขึ้น รวมถึงสามารถลดความมันบนใบหน้า (sebum excretion) สามารถช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน และลดการเกิดสิวได้ เหมาะกับผิวที่เป็นสิว

วิตามิน B3 ยังเป็น Cell Communicating ช่วยให้เซลล์สื่อสารกันได้ดี จะได้ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มปริมาณ Ceramide ในชั้นผิว ส่งเสริมให้ Skin Barrier มีความแข็งแรง

ปล. ในแต่ละงานวิจัยจะใช้ วิตามิน B3 ที่ความเข้มข้นแตกต่างกัน และระยะเวลาการใช้ที่แตกต่างกัน หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมในเรื่องของงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับวิตามิน B3 จะสรุปให้อีกครั้ง

ปล. 2 วิตามิน B3 จะช่วยให้ Magnesium Ascorbyl Phosphate (MAP)  ทำหน้าที่ได้ดียิ่งขึ้น

 

 

Magnesium Ascorbyl Phosphate (MAP) คืออนุพันธ์วิตามินซีทรงประสิทธิภาพจากประเทศญี่ปุ่น เป็นอีกหนึ่งตัวที่เป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก  มีคุณสมบัติละลายในน้ำ และค่อนข้างเสถียรมาก โดยการนำหัว Phosphate ester เข้ามาป้องกันวิตามินซี เพื่อให้มีความคงตัวสูงขึ้น คงตัวได้ดีต่อ Oxygen และความร้อน และเมื่อซึมเข้าสู่ผิวจะถูกย่อยและเปลี่ยนเป็น  Ascorbate สู่ชั้นผิวหนัง และเนื่องจากในผิวหนังของคนเรามีเอนไซม์ที่สามารถเปลี่ยน  Magnesium Ascorbyl Phosphate (MAP) ให้เป็นวิตามินซีที่พร้อมใช้งานเป็นจำนวนมาก ดังนั้น Magnesium Ascorbyl Phosphate (MAP) จึงสามารถแทรกซึมเข้าสู่ผิวหนัง ได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก

 

Magnesium Ascorbyl Phosphate (MAP) ถือเป็น Quasi Drug (ผลิตภัณฑ์กึ่งยา) ที่ได้รับการยอมรับในกลุ่มแพทย์จากประเทศญี่ปุ่น โดยส่วนใหญ่ การใช้วิตามินซีนั้นไม่ค่อยมีคนพูดถึงเรื่องประสิทธิภาพกันเท่าไรนัก มักจะพูดในเรื่องความคงตัวเป็นหลัก ซึ่ง Magnesium Ascorbyl Phosphate (MAP) นอกจากจะมีความคงตัวที่ดีแล้ว ยังเป็นวิตามินซีเพียงตัวเดียวที่ทำ Clinical studies ในด้านต่าง ๆ ตามนี้

• Anti-aging

• Skin brightening

• Acne Care

• Hair care

• Exceptional protection against UV-generated radical oxygen species, which prevents photo-aging

 

Magnesium Ascorbyl Phosphate (MAP) สามารถทำงานได้ดีที่ pH ประมาณ 7-8 ซึ่งทดสอบแล้วว่าไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว (หรือก็คือ ค่า pH ที่ใกล้เคียงกับน้ำสะอาด) ทำให้ไม่มีความเป็นกรด จึงไม่กัดผิว ต่างจากสารสกัด Vitamin C ทั่วไปที่เรียกว่า L-Ascorbic Acid (LAA) ซึ่งสารสกัดตัวนี้จะแรงกว่าและเข้มข้นกว่า แต่ทำงานได้ดีในสภาวะ pH ต่ำ จึงมีความเป็นกรดสูง และมีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดการระคายเคืองกับผิวสูงกว่ามาก ในแง่ของผลลัพธ์นั้น L-Ascorbic Acid (LAA) อาจจะเห็นผลได้ชัดเจนและรวดเร็วกว่า แต่ถ้าเทียบกันในระยะยาวและในเรื่องความอ่อนโยนและความปลอดภัยต่อสุขภาพผิว แม้ผิวที่แพ้ง่าย Magnesium Ascorbyl Phosphate (MAP) ก็เป็นสารที่อ่อนโยนกว่า ให้ผลลัพธ์ที่ดี และปลอดภัยกับผิวมากกว่าในระยะยาว

ปล. หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมในเรื่องของงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ Magnesium Ascorbyl Phosphate (MAP) จะสรุปให้อีกครั้ง

 

หมายเหตุ 1

ถึงแม้จะปราศจากส่วนผสมที่อาจก่อให้เกิดการแพ้ หรือการระคายเคือง เช่น สี น้ำหอม แอลกอฮอล์ สารกันเสียกลุ่มพาราเบน และน้ำมัน

- Color Free

- Fragrance Free

- Alcohol Free

- Paraben Free

- Oil Free

ก็ยังอาจก่อให้เกิดการแพ้หรือระคายเคืองได้ เพราะเรื่องการ แพ้” “ระคายเคือง”  และ อุดตันเป็นคำถามที่ตอบไม่ได้ เนื่องจากอาการแพ้ การระคายเคือง เป็นสิ่งที่แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล สำหรับการอุดตัน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลผิวโดยรวมของแต่ละคนเอง นอกจากนี้คนเรายังไวต่อการแพ้ การระคายเคือง และการอุดตันของสารแต่ละตัวไม่เหมือนกันด้วย ดังนั้นก่อนจะใช้ผลิตภัณฑ์ใดๆ ก็ตาม ควรทดสอบและทดลองใช้ก่อนทุกครั้ง